นักการเมืองขายชาติ แหล่งพลังงานปิโตรเลียมในอ่าวไทยให้ฮุนเซน รับใช้ทุนนิยมสามานย์ ผ่าน MOU 2543 ผลงานประชาธิปัตย์ ภายใต้ชวน หลีกภัยและ MOU 2544 ผลงานทักษิณ ชินวัตร โอบอุ้มโดยสุเทพ เทือกสุบรรณ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ถนนเขมรล้ำเขตแดนไทย? ....นายกไทย ไม่สน
การปะทะที่ชายแดนไทย มีเบื้องหลังเป็นความร่วมมือนักการเมืองเลวและเขมร
แถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ให้คนไทย โดยประชาชนชาวไทย
แถลงการณ์ ฉบับที่ 1
วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556
ด้วยปรากฏว่า ขณะนี้ชายแดนประเทศไทยด้านอีสานใต้ หลายท้องที่ ถูกบุกรุกโดยกองกำลังกัมพูชา โดยเฉพาะที่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้ง อยู่ที่บนเนินเขาปราสาทพระวิหาร ตำบลภูมิซรอล อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้มีประชาชนและกองกำลังจากประเทศกัมพูชา บุกรุกทำถนนรุกล้ำเข้ามาในเขตพระราชอาณาจักรไทย ก่อสร้างบ้านเรือน-ร้านค้าที่บริเวณพื้นที่บนลานนอกตัวปราสาท พร้อมจัดตั้งเสาธงชาติขนาดใหญ่ ชักขึ้นโดยมีเจตนาให้ผู้พบเห็นเข้าใจว่า เป็นพื้นที่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชา
ซึ่งภาคประชาชนได้มีหนังสือแจ้งให้ทางราชการส่วนต่างๆ ผู้มีหน้าที่ปกป้องพระราชอาณาจักร ดำเนินการขับไล่ผู้บุกรุกดังกล่าวออกไป ภายในวันที่ 5 เมษายน 2556 แล้ว
แต่ปรากฏว่า ทางรัฐบาลไทยได้ละเลยเพิกเฉยไม่ขับไล่ แสดงการสมยอมต่อการบุกรุกดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญ ม. 77 และประมวลกฏหมายคดีอาญามาตรา 119, และ 120 ผู้กระทำความผิดและผู้ร่วมกระทำความผิดจะตกเป็นผู้ต้องหาความผิดร้ายแรง มีโทษตามกฏหมายต้องโทษจำคุก ตามความผิดระดับต่างๆ ตั้งแต่ 10 -20 ปี จนถึงตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
ภาคประชาชนผู้รักและห่วงใยต่อการสูญเสียพระราชอาณาจักร ซึ่งมีพื้นที่สูญเสียตลอดแนวชายแดนเกือบสองล้านไร่ ดังที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นโดยมีเจตนาฉ้อฉลแผ่นดินไทย แล้วนำมารับสมอ้างใช้โดยชาวเขมร(กัมพูชาในปัจจุบัน) โดยที่ตามกฏหมายสากลมิได้ให้รับ สิทธิในการสืบสิทธิจากฝรั่งเศสแต่อย่างใด อีกทั้งฝ่ายกัมพูชาก็มิได้มีสิทธิใดๆ ที่จะอ้างใช้แผนที่ของฝรั่งเศสดังกล่าว นอกจากนี้ ในการทำ แผนที่1:200,000 นั้น ฝ่ายไทยมิได้มีส่วนรู้เห็นในการจัดทำ หรือร่วมสำรวจด้วย แต่ประการใด โดยที่ฝ่ายไทย ก็มีแผนที่ของกรมแผนที่ทหารฯ ใช้ในงานราชการมาตราส่วน 1:50,000 ระวาง L. 7017 และ L.7018 บ่งบอกแนวเขตประเทศชัดเจน ที่บริเวณเนินเขาพระวิหาร ว่า อยู่ที่สันเขาขอบหน้าผา โดยที่ข้าราชการทหาร-พลเรือนไทย ก็ยึดถือแนวสันเขาขอบหน้าผาตามแผนที่ 1:50,000 นี้ ปรากฏหลักฐานชัดเจนทั้งด้านเอกสาร และการบันทึกปากคำเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย มาโดยตลอด
แต่บัดนี้ ปรากฏว่า หลังจากประมาณปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา รัฐบาลไทยได้ละเลยในการปกป้องแผ่นดินส่วนนี้ และเพิกเฉยต่อการรุกคืบทีละเล็กทีละน้อยขโดยชาวกัมพูชา จนถึงปัจจุบันนี้ ปรากฏว่าฝ่ายไทยได้ถอนกำลังเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่บนเนินรอบตัวปราสาท เนื้อที่ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตรจนหมดสิ้น ปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชาใช้สอยแสดงสิทธิโดยพฤตินัยอย่างอิสระแต่ฝ่ายเดียว อีกทั้ง ในขณะนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้ร้องคดีต่อศาลโลก ต้องการได้สิทธิครอบครองพื้นที่ทางนิตินัยอีกโสดหนึ่งด้วย แต่กลับปรากฏว่า ฝ่ายรัฐบาลไทยได้ยอมไปต่อสู้คดี ทั้งๆที่ยังปรากฏการอ้างสิทธิเป็นเจ้าของใช้สอยพื้นที่ เต็มไปหมดโดยฝ่ายกัมพูชา จึงเป็นการสมยอมต่อสู้คดีที่สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดน ด้วยการสมยอมให้ครอบครองโดยฝ่ายกัมพูชา และรัฐไทยจะต้องยอมรับสภาพประจักษ์พยานเสียเปรียบต่อศาลโลก ในการให้ปากคำการไต่สวนบนศาลด้วยสภาพที่เป็นรอง ให้ปรากฏชัดแจ้งต่อสายตาชาวโลก แล้วยังหลอกลวงประชาชนชาวไทย ว่า "สู้เต็มที่" บนศาลฯซึ่งจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนเมษายน ศกนี้
ภาคประชาชนผู้ห่วงใยต่อการสูญเสียพระราชอาณาจักร ซึ่งจะยังความเสียหายต่อการเสื่อมเสียพระราชอำนาจในการปกครองพระราชอาณาจักรไทย ตลอดไปจนถึง เป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติยศต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ซึ่งจะต้องถูกบันทึกเหตุการณ์ การสูญเสียดินแดนแล้วจารึกลงในประวัติศาสตร์ไปชั่วกาลนานในที่สุดอีกด้วย จึงได้นัดหมายรวมตัวกันนำเสาธง-พร้อมธงชาติขนาดใหญ่ขึ้นไปติดตั้งบนพื้นที่ 4.6 ตร.กม. เพื่อแสดงอำนาจอธิปไตยไทย บนพื้นที่ดังกล่าว และพร้อมที่จะจับอาวุธขึ้นป้องกันตัวเอง ในกรณีที่ถูกฝ่ายกัมพูชาทำร้าย ตามกฏหมายไทยและกฏหมายสากลในสิทธิที่จะป้องกันตัวเอง ในวันจักรีที่ 6 เมษายน ศกนี้
จึงออกประกาศมาเพื่อขอความร่วมมือมายังภาคประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่มีกำลังฝีมือ มีสติปัญญา เป็นผู้มีจิตสำนึก ห่วงใยต่อประเทศชาติ ร่วมกันสำแดงความกตัญญู-กตเวทิตาต่อราชวงค์จักรี โดยเฉพาะต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงค์จักรีรัชกาลปัจจุบัน ผู้ทรงมีพระคุณต่อประเทศชาติเหลือคณานับ จักมิได้ต้องเสื่อมพระบรมเดชานุภาพจากการต้องสูญเสียดินแดนอีกครั้ง ภายใต้การบริหารประเทศโดยรัฐบาลที่สมยอมต่อการสูญเสียแผ่นดินซึ่งส่อว่า มีผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องแอบแฝง โดยการสูญเสียดินแดนครั้งนี้ที่ใกล้จะมีขึ้นอย่างเป็นทางการ จะต้องถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ ให้เสื่อมพระเกียรติยศต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงทำความดีมาตลอดเวลาที่ทรงครองราช ฯ ไปชั่วกัลปาวสาน ตลอดจนมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการสูญเสียทรัพยากรณ์ใต้ทะเล มูลค่ามหาศาลอีกโสดหนึ่งด้วย
ประกาศโดยตัวแทนภาคประชาชน นายวีรพันธ์ มาไลยพันธ์
(ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา) (ทายาทผู้สืบสันดานรุ่นที่สอง ของคุณหญิงทองอยู่ และพระยามหาอำมาตยาธิบดี)
(เส็ง วิรยศิริ)
(ราชปลัดทูลฉลอง ผู้รั้งเสนาบดีมหาดไทย และอุปราชภาคตะวันตก ใน ร. ๖)
(เป็นบุคคลเดียวกับนายบัญชา ภูมิสถาน ผู้ร่วมสำรวจรังวัดแล้วไปตีพิมพ์แผนที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกร่วมกับพระวิภาคภูวดลหรือเจมส์ แมค คาร์ธี , ต่อมาคือ หลวงเทศาจิตรพิจารณ์, ต่อมาคือ พระสฤษพจนกรณ์ และพระยาสฤษพจนกรณ์-ราชเลขานุการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ พระปิยมหาราชเจ้า และต่อมาคือ พระยาศรีสหเทพ ข้าหลวงต่างพระองค์ผู้รับมอบอำนาจเต็ม ไปเจรจาแลกคืนเมืองจันทบุรีและเมืองตราดจากฝรั่งเศส ซึ่งไทยต้องจำยอมเสียสละประเทศ ลาวและเขมร เป็นการแลกเปลี่ยน)
ร่วมประกาศ โดย :-
น.พ. ประทีป ตลับทอง
เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย (อีสานใต้ - ตะวันออก)
