
แหล่งน้ำมันบริเ วณเกาะกูด ที่เขมรพยายามโกงเอาไป โดยใช้แผนที่ 1:200000 ของเขมร ภาพแสดงบ่อปิโตรเลียมที่รัฐบาลให้สัมปทานแก่ต่างชาติโดยที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่อง
บ่อปิโตรเลียมของไทยหรือเขมร
โดย ดร.รักไทย บูรพ์ภาค
... สวัสดีอีกครั้งทุกๆ ท่าน อาทิตย์นี้ผมอยู่เมืองวอชิงตัน ดี.ซี. มีเหตุการณ์ภัยธรรมชาติมากมาย ไหนจะแผ่นดินไหว ไหนจะพายุเฮอริเคนเข้า ก็ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ทุกๆ ท่านก็ต้องรักษาตัวด้วยเพราะตอนนี้ที่เมืองไทยก็เหมือนว่าจะเข้าช่วงฤดูฝนแล้ว รักษาตัวด้วยนะครับทุกท่าน
กลับมาเรื่องที่ผมสัญญาว่าจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องแหล่งพลังงานพื้นที่ทับซ้อนนี้ ก่อนอื่นบอกก่อนว่าทุกท่านต้องทำใจเป็นกลางแล้วมองตามภาพข้างล่าง สองภาพนี้


มองกันตามข้อมูลนี้ ผมได้มาจากกระทรวงพลังงานภายในของสหรัฐอเมริกา (U.S. Department of the Interior ซึ่งดูแลด้านนี้) ข้อมูลอันนี้ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับแหล่งพลังงานในภูมิภาคของเราตามรูปเลย ถ้ามองคร่าวๆ ตามตะเข็บชายแดนบริเวณไทย-กัมพูชาจะเห็นว่ามันอยู่ในแหล่งพลังงานใต้พิภพที่เรียกว่า (Thai Cenozoic Basins)??? หมายความว่ายังไง หมายความว่าแหล่งพลังงานบนพื้นที่ทับซ้อนถ้าดูจากข้อมูลทางธรณีวิทยาที่เห็นก็ต้องบอกว่าเป็นแหล่งพลังงานของไทย ท่านผู้อ่านพอจะเห็นภาพหรือยังว่าคราวนี้ถ้าเรามองย้อนกลับแล้วจะเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์พื้นที่ทับซ้อนในช่วง 2-3 ปีนี้ หรือไม่ขอตั้งข้อสังเกตว่า
1. ถ้าการที่จะมีข้อมูลของสหรัฐอเมริกามาตีพิมพ์เรื่องนี้เมื่อปีที่แล้วเป็นไปได้ หรือไม่ว่าข้อมูลดิบน่าจะมีก่อนหน้านี้ถึง 3-4 ปีแล้ว
2. เป็นอีกหนึ่งเหตุผลหรือเปล่าที่ทางกัมพูชาพยายามทำให้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนแล้วทางเขาจะได้ผลประโยชน์ด้วย ซึ่งทางฝั่งเขาไม่น่าจะมีสิทธิแต่แรก
คราวนี้เพื่อความชัดเจน ผมเขียนจดหมายไปถึงผู้ที่จัดทำข้อมูลชุดนี้ที่ทำงานอยู่ที่กระทรวงพลังงานภายในของสหรัฐอเมริกา ผลปรากฏว่าทางเขาไม่ตอบอะไรเลย (ปกติติดต่ออะไรเขาตอบเสมอ) อาจจะเป็นเพราะว่าทางอเมริกาไม่อยากยุ่งหรือว่ามีบริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกาเข้าไปเอี่ยวกับทางฝั่งกัมพูชารึป่าวอันนี้ผมไม่ทราบ... แล้วจากข้อมูลที่ได้ประเด็นข้อตกลงเรื่องนี้ควรจะเป็นอย่างไรซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ใหญ่ประจำกระทรวงบอกว่า “แบ่งพลังงานอ่าวไทยเขมรวิน-วิน 50:50 ตรงพื้นที่ทับซ้อนใกล้ฝั่งใครเอาไป 80:20” วิน-วินจริงรึครับ??
ถ้าจากข้อมูลชุดนี้ ท่าทางว่าฝั่งกัมพูชาเขาจะวินอย่างเดียวละครับเนี่ย เพราะทางเขาไม่มีสิทธิ์ตั้งแต่แรกแล้วมันควรจะเป็นอย่างไรละ ถ้าถามผมโดยยึดผลประโยชน์ของชาติไทบเป็นหลักและอิงตามสากลควรจะเป็นอย่างนี้
1. แหล่งน้ำมันฝั่งใครของประเทศนั้น เราก็คงไม่อยากไปเอาของเขาอยู่แล้ว
2. บนพื้นที่ทับซ้อนไทยต้องไม่ต่ำกว่า 80% เพราะเป็นแอ่งพลังงานของเราแต่แรก แต่เข้าใจว่ากลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนเราอาจจะต้องให้เขาบ้างเพื่อจะได้มีการนำพลังงานมาใช้ทั้งสองฝ่าย โดยต้องเปิดเผยข้อมูลการขุดเจาะทั้งสองฝ่าย (ในกรณีที่เรามีข้อมูลทุกอย่างพร้อม และตัดสินใจจะนำพลังงานมาใช้)
3. แหล่งน้ำมันบริเวณฝั่งกัมพูชาเนื่องจากว่าอยู่ในแอ่งเดียวกับเรา (Thai Cenozoic Basins) เขาต้องรายงานข้อมูลการขุดเจาะรวมถึงวันที่จะเจาะในรัศมี 4-5 กิโลเมตรนับจากเขตแดนทางกัมพูชาไปในประเทศกัมพูชา และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเราในกรณีที่หลุมเจาะใกล้เขตแดนระหว่างประเทศในระยะ 4-5 กิโลเมตรทำไมต้องเป็นแบบนี้??? เพราะป้องกันทางฝั่งกัมพูชาใช้เทคโนโลยีในการเจาะมาลักลอบเอาน้ำมันของเรา เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีการเจาะแบบแนวนอน (Horizontal Drilling) ซึ่งแต่ก่อนมีแบบแนวตั้งแบบเดียว (Vertical Drilling) และช่วงท่อแนวนอนนี้สามารถยึดไปได้ประมาณ 3-4 กิโลเมตร ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีบางประเทศนำไปใช้ในการลักลอบน้ำมันใต้ดิน (บางแหล่งชั้นน้ำมัน Connect กันหมด) และรัฐบาลเรารวมไปถึงคนไทยเราต้องรู้ทันด้วย ตามรูปประกอบจาก Internet ข้างล่าง
ซึ่งข้อตกลงนี้ก็ต้องให้นักกฎหมายและนักธรณีวิทยามาดูด้วย เพราะผมพูดในเชิงนโยบายและประสบการณ์ของผมด้านพลังงานและขุดเจาะน้ำมัน สุดท้ายนี้ผมเชื่อว่าถ้าคนไทยเราสามัคคีกันผลประโยชน์ต้องตกเป็นของคนไทยแน่นอน ดูอย่างทีมวอลเลย์บอลหญิงของเราสิเป็นตัวบอกได้ดีเลยครับ ผมขอฝากข้อมูลหรือบทความนี้ไปถึงคนไทยทุกคนและรัฐบาลใหม่ด้วย ขอขอบคุณครับ

ความที่ข้าพเจ้าถูกฝึกมาเป็นนักวิจัย ดังนั้นการให้เหตุผลใดๆ จากข้อมูลและหลักฐานจึงเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญและระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งต่อการแสดงความคิดเห็นต่อประเทศชาติ กล่าวคือต้องให้ชัดเจนและมั่นใจเสียก่อน จึงตัดสินใจฟันธง
สำหรับเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาทั้งทางบกและทางทะเล ข้าพเจ้าได้จัดระบบความคิดโดยมองเป็นกลุ่ม ถ้าเป็น ทางบก ก็ต้องพิจารณาไปที่กลุ่ม MOU 2543, TOR 2546, แผนพัฒนาบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร (หรือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 3,000 ไร่นั่นเอง) และร่างข้อตกชั่วคราวฯ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสนอเพื่อขอให้รัฐสภาผ่านความเห็นชอบ ตั้งแต่ 2 กรกฎาคม 2552 ถูกเข้าวาระตั้งแต่ 28 สิงหาคม 2552 เข้า-ออกมา 3 ครั้ง จนครั้งสุดท้ายถูกถอนออกจากวาระเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2552 จึงกินเวลาเกินกว่า 60 วันแล้วเมื่อถึงวันนี้ แต่ถ้าเป็น ทางทะเล ก็ต้องมองไปที่ MOU 2544 และ แถลงการณ์ร่วม 2544
โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์
นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ข้าพเจ้าเคยเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาเขตแดนทางทะเลโดยยกเลิก MOU 2544 และ ยกเลิกแถลงการณ์ร่วม 2544 ไปเสียด้วยกันด้วยเหตุผลว่า แถลงการณ์ร่วม 2544 นั้นรับรอง MOU 2544 อยู่ (ในข้อ 15 ระบุว่า “ ทั้งสองฝ่ายแสดงความพึงพอใจในความพยายามต่างๆ ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกันมา และให้การในบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทยว่าด้วยพื้นที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์ไหล่ทวีปซ้อนกัน ซึ่งลงนามโดยนายซก อาน รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ ฯพณฯ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย” )
(นายซก อาน ลงนามเอกสารในฐานะประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติ (กัมพูชา)ด้วย)

ปัญหาเขตแดนทางทะเลที่ว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่การฆ่าตัดตอนผลประโยชน์ทางทะเลของกลุ่มทักษิณ ชินวัตร ที่ทางฝ่ายรัฐบาลให้เหตุผลหากจะมีการยกเลิก MOU 2544 ว่าเป็นเพราะทำในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทางรัฐบาลกัมพูชาได้ตั้งให้อดีตนายกรัฐมนตรีไทยผู้นี้เป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวทางด้านเศรษฐกิจของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา จึงรับประกันไม่ได้ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไทยจะเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับแก่ประเทศคู่กรณีในผลประโยชน์ทางทะเลด้วยกันหรือไม่ ทั้งนี้เพราะมันมีเหตุผลที่ขึ้นอยู่กับความเป็นธรรมตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และผลประโยชน์ของประเทศชาติที่ถูกต้องเป็นธรรมตามหลักการด้วย โดยกัมพูชาประกาศอ้างสิทธิ์ฝ่ายเดียวในเขตไหล่ทวีป เมื่อปีพ.ศ. 2515 เริ่มจากจุดตั้งต้นของเส้นไหล่ทวีปที่ไม่มีค่าพิกัดที่แน่นอน ลากผ่านเกาะกูดของไทยโดยไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายรองรับ และเส้นไหล่ทวีปในแนวเหนือ-ใต้ ไม่ได้กำหนดจากเส้นฐานหมู่เกาะของทั้งสองประเทศตามหลักสากล
ฝ่ายไทยได้ประกาศอ้างสิทธิ์ในเขตไหล่ทวีปตามมาในปี พ.ศ. 2516 แม้จุดเริ่มต้นของเส้นไหล่ทวีปจะยังมีค่าพิกัดไม่แน่นอน เพราะต้องขึ้นอยู่กับหลักเขตแดนหลักที่ 73 หลักเขตสุดท้ายทางบกที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของทางทะเล ซึ่งเรียกว่าเป็นหลักอ้างสิทธิ์ แต่ไทยได้ใช้พื้นฐานทางกฎหมายรองรับในการลากเส้นจากฐานหมู่เกาะและเส้นฐานตรง โดยเส้นช่วงแรกใช้แนวแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของไทยกับเกาะกงของกัมพูชา ส่วนที่เหลือเป็นเส้นแบ่งครึ่งทะเลระหว่างแนวเกาะของไทยกับกัมพูชาโดยใช้หลักการของเส้นมัธยะ (Equidistance Line) (อ้างเอกสารเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา โดย กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ . เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่ม เรื่อง กรณีปราสาทเขาพระวิหาร : จุดยืนและผลประโยชน์แห่งชาติอยู่ที่ใด . จัดโดยสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 22 กันยายน 2551)
พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา มีขนาด 26,400 ตารางกิโลเมตร และมีความพยายามเจรจาแบ่งเขตไหล่ทวีปกันตลอดมา ตั้งแต่ 14 มีนาคม 2535 และ 27-28 เมษายน 2538 แต่ท่าทีของกัมพูชาคือ
· ไม่พิจารณาเรื่องพื้นฐานทางกฎหมายของเส้นที่ตนอ้างสิทธิ์
· เส้นที่อ้างสิทธิ์ไว้เดิมเป็นเส้นที่ไม่อาจต่อรองได้
· เสนอให้ทำพื้นที่พัฒนาร่วม (JDA) โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- แบ่งผลประโยชน์เท่ากัน
- ไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิ์และอธิปไตยของกัมพูชา
- ไม่คำนึงถึงสิทธิ์ใดๆ ที่เคยมีมาก่อนของบุคคลที่สามเกี่ยวกับการให้สัมปทาน
แต่มีการแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนด้วยวิธีทางการเมือง จึงปรากฏเป็นการจัดทำ MOU 2544 ณ กรุงพนมเปญ โดยหลักการพื้นฐานที่เราจะเข้าใจได้ก็คือ
1) ผู้มีอำนาจฝ่ายบริหารของไทยไปรับรอง “ความมั่ว” ของกัมพูชา และ ไม่นำเรื่องนี้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ผิดรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาตรา 224
2) เรื่องการให้สัมปทานถ้ามองในแง่ความมั่นคงทางด้านเขตแดนแล้วเป็นเรื่องแสดงหรือยืนยันให้เห็นความมีอธิปไตยของรัฐผู้ให้สัมปทาน
โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่จะมองระบบสัมปทานในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น ระบบนี้เป็นที่นิยมในประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายที่ต้องการลดภาระการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ จึงมอบสัมปทานให้เอกชนทำแทน ทั้งนี้ผู้ได้รับสัมปทานก็จะได้รับผลประโยชน์จากสัมปทานในกิจกรรมนั้นๆ แต่เมื่อหมดอายุสัมปทาน ผู้ให้สัมปทานจะมีรายได้ต่อเนื่องจากการถืออายุสัมปทานนั้นให้กับผู้รับสัมปทานเดิม หรือรายใหม่ต่อไป การทำธุรกิจโดยระบบสัมปทานจะมีข้อน่าท้าทายของผู้ให้สัมปทาน ตรงที่
รูป MOU 44 ที่ลงนาม ระหว่าง ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย กับ นายซก อาน

รูป MOU 44 ที่แสดงแผนที่ทับซ้อนทางทะเล
ปัญหาเขตแดนทางทะเลเป็นอย่างไร
- การหาผู้รับสัมปทาน
- เงื่อนไขที่ผู้ให้สัมปทานจะใช้อำนาจหรืออิทธิพลเข้าไปแทรกแซง จนเกิดปัญหาที่นำมาสู่ความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้ลงทุน ทั้งไทยและกัมพูชาให้สัมปทานการสำรวจแก่เอกชนโดยมีเงื่อนไขว่าจะเข้าสำรวจได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองมีข้อยุติเรื่องพื้นที่ทับซ้อนแล้ว แต่ในขณะที่เงื่อนไขยังค้างคาอยู่ ทางกัมพูชากลับให้สิทธิ์การขุดเจาะ แก่ บริษัทของญี่ปุ่น เมื่อ 15 กันยายน 2552 บล็อก 4 ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเกาะกูด จ.ตราด ของไทย กับ จ.เกาะกง ของกัมพูชา ติดกับ บล็อก 3 ที่กัมพูชาเคยให้สิทธิ์แก่บริษัท โททาล ของฝรั่งเศส นี่ยังไม่นับรวมถึงบริษัทอื่นๆ ที่ได้รับสิทธิ์ขุดเจาะก่อนหน้านี้ จึงนับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กัมพูชาละเมิดพันธกรณีอย่างร้ายแรงตามกฎหมายระหว่างประเทศ น่าสังเกตว่าหลายๆ ครั้งที่กัมพูชาละเมิดพันธกรณี พันธกรณีเหล่านั้นมิได้มีจุดกำเนิดหรือที่มาที่ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาลและกฎหมายสากลที่ใช้ระหว่างประเทศ เหตุผลเพียงเท่านี้ก็ สามารถบอกยกเลิกพันธะเถื่อนๆ ที่หวังจะผูกพันกันได้แล้ว
3) เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฮุน เซน ผู้นำทั้งสองของชาติสองชาติในเอเชีย
ประมาณเดือนพฤษภาคม 2551 พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเอง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ จะลงทุนธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะการเช่าเกาะกงหลังจากที่ได้หารือกับสมเด็จฮุน เซน เรียบร้อยแล้ว
3.1) มีข้อมูลที่น่าสนใจเรื่องความสัมพันธ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ กับบริษัทที่ทำธุรกิจพลังงานที่สำคัญคือ เพิร์ล ออยล์ ที่มีกลุ่มทุนเทมาเล็กของสิงคโปร์ถือหุ้น และมีต้นกำเนิดมาจาก แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่(ประเทศไทย) พ.ต.ท.ทักษิณฯ พยายามนำบริษัทเข้าไปลงทุนในกัมพูชา รวมทั้งนำบริษัท ปตท.สผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) หรือPTTEPI ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณฯ มีหุ้นใหญ่ ไปร่วมทุนกับบริษัทอื่นที่จดทะเบียนในกัมพูชา ขอรับสัมปทานจากกัมพูชาในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ ในบล็อก B หรือที่ PTTEPI ตั้งรหัสโครงการว่า โครงการ G9/43 และปรากฏด้วยว่า PTTEPI มีความสัมพันธ์ในการลงทุนกับเพิร์ล ออยล์ ในที่สุด ข้อมูลเหล่านี้ เป็นข้อมูลในเชิงประชาสัมพันธ์ของนาย Te Duong Tara ผู้อำนวยการ Cambodian National Petroleum Authority (หรือ ปตท.เขมร) เมื่อต้นปี พ.ศ. 2549 และมีข้อมูลประกอบที่น่าสนใจอีกด้วยว่า นาย Te Duong Tara ผู้อำนวยการ ปตท.เขมร ที่สมเด็จฮุน เซน ตั้งขึ้นมาคนนี้ เป็นคนเขมรเชื้อสายเวียดนาม และตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ก็ถูกชาวบ้านและนักลงทุนต่างชาติตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กร วิพากษ์วิจารณ์ว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มมากกว่าประเทศชาติ
3.2) เรื่องความร่วมมือต่างๆ ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มักมีผู้อ้างให้นำมาเป็นข้อพิจารณา หากจะยกเลิก MOU 2544

เรื่องเหล่านี้ นักวิเคราะห์ผู้มีหน้าที่ของรัฐ(ที่เจาะจงเช่นนี้เพราะมีบทเรียนมาว่ารัฐบาลนี้ไม่ค่อยเชื่อหรือฟังใคร) สมควรนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง และให้แยกแยะประเด็นให้ถูกต้องตรงความจริง ในความร่วมมือด้านต่างๆ พื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ACMECS อนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง อาเซียน+เอเชียแปซิฟิก สามเหลี่ยมมรกต และอีกมากมาย
ใน MOU 2544 ที่มีแถลงการณ์ร่วม 2544 รับรองเองก็ตาม ได้ระบุสาขาความร่วมมือไว้มากมายได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น พัฒนาถนน การสาธารณูปโภคและชีวอนามัย ความร่วมมือทางด้านการศึกษา ด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือแก้ไขปัญหาการลักลอบค้าของเถื่อนชายแดน การพัฒนาการค้าและการลงทุน การพัฒนาด้านเกษตรกรรม ป่าไม้ และการประมง การพัฒนาอุตสาหกรรมและการพลังงาน
น่าสังเกตว่าก่อนหน้าลงนาม MOU 2544 และแถลงการณ์ร่วม 2544 ในวันที่ 18 มิถุนายน 2544 นั้น เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณฯ มีมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการลงนามใน Framework Agreement on Economic Cooperation ระหว่าง ไทย-กัมพูชา กำหนดแผนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมีพื้นที่โครงการความร่วมมือที่เรียกว่า “เสี้ยววงเดือนแห่งโอกาส ” (Crescent of Opportunity) ครอบคลุมจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา รวม 14 จังหวัด (ไทย : ตราด จันทบุรี สระแก้ว สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี กัมพูชา : เกาะกง โพธิสัต พระตะบอง บันเตียเมียนเจย อุดรมีชัย พระวิหาร และ เสียมราฐ) และ ถนนสาย 48 ไทย-กัมพูชา ระยะทาง 149 กิโลเมตร ที่คณะรัฐมนตรีสมัย พ.ต.ท.ทักษิณฯ เป็นนายก ได้ผ่อนปรนปล่อยกู้ให้กัมพูชาเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ถนนสาย 67 ช่องสะงำ – อันลองเวง ที่มติคณะรัฐมนตรี 10 มิถุนายน 2546 สมัย พ.ต.ท.ทักษิณฯ อีกเช่นกัน ได้ผ่อนปรนช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่กัมพูชา ต่างก็เป็นผลมาจากแผนความร่วมมือนี้ และเป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่ยกมาแสดงว่าไทยให้ และ พยายามให้ เรื่องนี้ไม่ห้ามถ้าจะมีใครสงสัยว่าให้เท่าไร และให้ทำไมกัน
คงจะต้องเป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ผู้มีหน้าที่ ที่จะต้องพิจารณาด้วยว่า “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เป็นเหตุผลและข้อมูลอีกชุดหนึ่ง ต่างจากเรื่อง “การให้” และ/หรือ “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดี” ความพยายามของภาคีเครือข่ายทุนข้ามชาติในยุคโลกาภิวัตน์ ที่มุ่งสลายพรมแดนของประเทศให้เปิดออก ทำให้คนจนท้องถิ่นที่หาอยู่หากิน ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติอย่างแท้จริง ถูกแย่งชิงไปด้วยการเอื้อผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงนโยบาย นักวิเคราะห์ผู้มีหน้าที่ของรัฐจะต้องให้สมดุลระหว่างเหตุผลทั้งสองชุดนี้
แม้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะมีผู้คนออกมาแสดงความเห็นกันมากมายเรื่อง MOU 2544 มีตั้งแต่ นักวิชาการผู้เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา กูรูทางด้านเศรษฐศาสตร์ผู้มีความเห็นชอบต่อการที่ไทยจะเสนอขอขึ้นทะเบียนร่วมกับกัมพูชา (โดยไม่นำพาเรื่องเขตแดน) และกระทั่งอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศผู้เป็นคนลงนามใน MOU ฉบับนี้เอง เป็นต้น แต่จนบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันเรื่องการยกเลิก MOU 2544 และแถลงการณ์ร่วม 2544 หากพิจารณาเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้น การยกเลิกนั้นรัฐบาลไทยสามารถกระทำได้ด้วยเหตุผลที่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่า กัมพูชาละเมิดพันธกรณีอย่างร้ายแรง ผลกระทบที่ได้จากข้อมูลเชิงประจักษ์นี้ (และอาจจะรวมเหตุผลการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ผู้มีหน้าที่ด้วยก็ได้ถ้ารัฐต้องการความรอบคอบและมั่นใจยิ่งกว่านี้ เพียงแต่ขอให้ตั้งโจทย์ ให้ถูกต้อง) เป็นสาเหตุให้ยกเลิกหนังสือสัญญาเถื่อนทั้งสองตัวได้ตามอนุสัญญาเวียนนา ว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ข้อ 60 เป็นข้อดีเสียอีกที่ทั้งสองประเทศนี้จะถือโอกาสเริ่มต้นความสัมพันธ์กันด้วยระบบที่เป็นมาตรฐานสากลและนานาประเทศยอมรับ เพราะยังมีข้อตกลงแบบเถื่อนๆ และด้อยพัฒนาอีกหลายเรื่อง เป็นต้นเหตุความร้าวฉานในความสัมพันธ์ที่รัฐและประชาชนทั้งสองประเทศมีต่อกัน เพราะฉะนั้น การนำ MOU 2544 และแถลงการณ์ร่วม 2544 เข้ารัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องขอยกเลิกนั้นไม่จำเป็นและก็ไม่ได้เป็นเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และถ้าหากคิดเชิงผกผัน กลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวว่าอาจจะทำให้ MOU ฉบับนี้เป็นฉบับที่มีที่มาที่ไปและสถานภาพอันชอบธรรม รัฐบาลจึงต้องนำเข่าสู่รัฐสภาตอนยกเลิก (นี่เป็นเหตุผลและปัจจัยสำคัญในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศที่ละเอียดอ่อนและควรต้องระมัดระวังด้วย) แม้รัฐบาลจะอ้างเหตุผลความรอบคอบก็ดี แต่ความรอบคอบนั้นสามารถหาได้จากนักวิเคราะห์ผู้มีหน้าที่ และการรับฟังความคิดเห็นโดยรอบ ไม่ใช่หาเอาจากเหตุผลของนักการเมือง
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า หากรัฐบาลตัดสินใจเรื่องนี้อย่างจริงใจ นั่นย่อมแสดงให้เห็นภาวะผู้นำซึ่งเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ รัฐบาลอย่ามัวแต่โยนหินถามทาง กำไต๋ ตีปลาหน้าไซ หรืออะไรก็สุดแต่ที่ยังเป็นชั้นเชิงทางการเมือง ซึ่งนับว่าผิดที่ผิดทางต่อการแก้ปัญหาในขณะนี้ มิเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะยกเรื่องกรณีที่รัฐบาลดำเนินการและแจ้งเรื่องการสิ้นผลของแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับนายนพดล ปัทมะ (18 มิถุนายน 2551) เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจ และทำให้รัฐบาลขายหน้าว่า เป็นรัฐบาลไม่มีหลักการ
การยกเลิก MOU 2544
รูปพื้นที่ทับซ้อนในทะเล ระหว่างไทย กับ กัมพูชา